พระเจ้าตากสินมหาราช ศิษย์รัตตัญญูผู้กู้เอกราชไท 1

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระเจ้าตากสินมหาราช ศิษย์รัตตัญญูผู้กู้เอกราชไท 2

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระเจ้าตากสินมหาราช ศิษย์รัตตัญญูผู้กู้เอกราชไท 3

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระเจ้าตากสินมหาราช ศิษย์รัตตัญญูผู้กู้เอกราชไท 4

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระเจ้าตากสินมหาราช ศิษย์รัตตัญญูผู้กู้เอกราชไท 5

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระเจ้าตากสินมหาราช ศิษย์รัตตัญญูผู้กู้เอกราชไท 6

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

พระเจ้าตากสินมหาราช ศิษย์รัตตัญญูผู้กู้เอกราชไท 7

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 01

จากหน้าประวัติศาสตร์อเมริกา ที่เราได้รับรู้ รับเรียนเป็นข้อมูลที่เขียนโดยชาวตะวันตก จะพบข้อความว่า

...ผู้ค้นพบทวีปอเมริกาเป็นคนแรกของโลก คือ โคลัมบัส... ซึ่งเป็นเรื่องเท็จ ที่เสกสรรปั้นแต่งขึ้นจากบาดหลวง ผู้เผยแผ่ศาสนาในยุคนั้น

เพราะผู้ที่เดินเรือไปค้นพบทวีปอเมริกาเป็นคนแรกมีชื่อว่า " เจิ้งเหอ " เป็นพุทธศาสนิกชน ชนชาติไท

เกิดที่มลฑลยูนานในปัจจุบัน หรือ ที่เรารู้จักกันในนาม สิบสองพันนา ...

ประวัติของท่านเจิ้งเหอ ได้ถูกปลอมปน และปรับแปลง และทำลายในยุคปฏิวัติวัฒนธรรมเมื่อมาดามจางชิง ภรรยาของเมาเจอตง มีอำนาจ

นับว่าโชคดีสำหรับชาวไท ในยุคปัจจุบัน ที่ได้มีคณะค้นคว้าประวัติศาสตร์บรรพกาล

และคณะผู้จัดสร้าง ได้นำประวัติของท่านเจิ้งเหอ บางส่วนมาทำเป็นภาพยนต์

ให้คนทั้งโลกได้รับรู้ความจริง และความยิ่งใหญ่ ของชนชาติไท ในประวัติศาสตร์

ซึ่งได้นำมาเผยแผ่ ให้อนุชนไท ได้ศึกษา อันเป็นความภาคภูมิใจสูงสุดของผองศิษย์รัตตัญญุศาสตร์ยุคปัจจุบัน ที่มีศิษย์รุ่นบรรพกาลเป็นผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก

แสดงให้เห็นความเป็นสุดยอดแห่งวิชาสมุทรศาสตร์ของโลก อันเป็นหนึ่งในคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ รัตตัญญุศาสตร์ภาคดาราศาสตร์ และสมุทรศาสร์ ที่่เจิ้งเหอได้ศึกษาจากสำนักวัดป่าแก้ว อยุธยา

ขอขอบคุณ คณะผู้จัดสร้างภาพยนต์ ดารานักแสดง และคณะผู้แปลบทพากย์ พร้อมทั้งผู้เผยแผ่ ด้วยความจริงใจ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 02

เมื่อประมาณกว่า 417 ปีที่อยุธยาเป็นราชธานีของไทย

ด้วยลักษณะของพื้นที่ของเมืองอยุธยาเป็นเกาะและรายรอบไปด้วยแม่น้ำ 3 สาย ได้แก่ ป่าสัก ลพบุรี และเจ้าพระยา

จึงทำให้อยุธยากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญและรุ่งเรืองไปด้วยสรรพสินค้าจากนานาประเทศ

ที่ได้เข้ามาทำการติดต่อด้านการค้าหรือสานสัมพันธ์ด้านการทูตกับอาณาจักรอันรุ่งเรืองในดินแดนสุวรรณภูมิอย่าง “อยุธยาราชธานี”

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 03

จีนฮกเกี้ยนถือเป็นเชื้อสายชาวจีนที่เข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยอยุธยาและมีบทบาทในราชสำนัก

ส่วนชาวจีนแต้จิ๋วมีจำนวนน้อยและเข้ามามีบทบาทการค้าสมัยกรุงธนบุรีในภายหลัง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 04

จีนและไทยมีสายสัมพันธ์เรื่องการค้าด้วยกันมาตลอด โดยเฉพาะในสมัยอยุธยา

จีนเป็นชนชาติแรกๆ ที่ติดต่อกับอยุธยาและดินแดนใกล้เคียง ทั้งทางบกและทางน้ำด้วยเรือสำเภา

จึงเกิดชุมชนชาวจีนขึ้นในแต่ละดินแดนที่ได้เยี่ยมเยือน

จีนฮกเกี้ยนถือเป็นเชื้อสายชาวจีนที่เข้ามาเป็นจำนวนมากในสมัยอยุธยาและมีบทบาทในราชสำนัก

ส่วนชาวจีนแต้จิ๋วมีจำนวนน้อยและเข้ามามีบทบาทการค้าสมัยกรุงธนบุรีในภายหลัง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 05

สมัยพระเจ้าอยู่หัวท้ายสระ (พ.ศ. 2252-2276) และพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ (พ.ศ.2276-2301)

เป็นช่วงที่การค้าไทย-จีน รุ่งเรืองเป็นอย่างมาก อยุธยายกย่องให้ชาวจีนเป็นกลุ่มคนพิเศษไม่ต้องสังกัดระบบไพร่

เนื่องจากต้องการให้ชาวจีนเป็นเหมือนตัวกลางการค้าระหว่างอยุธยาและภูมิภาคอื่นๆ ที่จีนเดินทางไปสำรวจเส้นทางการเดินเรือ

และแต่งตั้งให้ชาวจีนเป็นขุนนางในราชสำนักโดยตั้งตำแหน่ง “หลวงโชฎึกราชเศรษฐี” มีศักดินา 1,400

เป็นเจ้ากรมท่าซ้ายและมีหน้าที่ดูแลชาวจีนในอยุธยา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 06

เกาะอันเป็นที่ตั้งกรุงศรีอยุธยานั้น

เดิมทีเป็นที่ตั้งเมืองโบราณสืบทอดกันมานับเป็นหมื่นปี ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้ากัสสปะ และได้ถูกทิ้งร้างไป

จนกระทั่งพระเจ้ากาฬวดิฬ พระราชบิดาของพระนางตามเทวี ได้ให้ข้าราชบริพารสร้างขึ้นมาใหม่

โดยสร้างวัดให้เป็นที่จำพรรษาชื่อว่า "วัดอโยธยา" หรือ ปัจจุบันเรียกขานว่า วัดเดิม พระเจ้ากาฬวดิษฐ์

ได้ให้พระราชบุตรเขย(พระราชสวามีพระนางจามเทวี) ออกบวชชื่อว่า "พระมหาเถระไหล่ลาย(เพราะสักยันต์จนถึงไหล่)

พร้อมให้กองทัพและครอบครัวตั้งบ้านเรือนทำนาไร่ เป็นกัลปนาดูแลวัดเดิม ที่ซึ่งพระเจ้ากาฬวดิษฐ์ทรงตั้งพลับพลาดูแลงานสร้างวัดเดิมนั้น

ก็ได้สร้างขึ้นเป็นวัดชื่อว่า "วัดธรรมิกราช" ตามชื่อพระพุทธรูปหินซึ่งช่างหลวงของพระเจ้ากาฬวดิษฐ์แกะสลักประดิษฐานไว้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 07

วัดพนัญเชิง สร้างขึ้นบริเวณนอกเกาะอยุธยา

เดิมเป็นที่ตั้งของชุมชนชาวจีน ญี่ปุ่น และโปรตุเกส ริมปากแม่เจ้าพระยาใกล้บรรจบกับแม่น้ำป่าสัก

เดิมชื่อว่า “วัดพระเจ้าพแนงเชิง” มีความหมายว่า พระพุุทธรูปปางนั่งขัดสมาธิ ซึ่งหมายถึง พุทธไตรรัตนนายก

ซึ่งประดิษฐานอยู่ภายในพระวิหารใหญ่ พระพุทธไตรรัตนนายก เป็นพระพุทธรูปปางสมาธิขนาดให้ หน้าตักกว้าง 20 เมตร 17 เซนติเมตร สูง 19 เมตร

พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระราชทานนามว่า “พระพุทธไตรรัตนนายก”

ชาวบ้านเรียก หลวงพ่อโต หรือ ซำปอกง (ซำปอ แปลว่า ไตรรัตน์ และกง เป็นคำใช้เรียกผู้มีความรู้และคุณธรรม) และเป็นที่เคารพของคนไทยเชื้อสายจีน

วัดพนัญเชิง ได้บูรณะสร้างโดย เจิ้งเหอ เอกอัครราชทูตการค้าของจีน ซึ่งเป็นพุทธมามกะ

มีใจกุศลศรัทธาเห็นความชำรุดทรุดโทรมของวิหารพระเจ้าพะแนงเชิง จึงรวบรวมพ่อค้าพานิชชาวจีนในอยุธยา ร่วมกันบูรณะเสียใหม่

เจิ้งเหอจึงเป็นที่เคารพนับถือของชาวจีนพุทธในอยุธยา จึงได้สร้างรูปเคารพไว้ที่วัดพะแนงเชิง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 08

สำหรับในประเทศไทยมีหลวงพ่อซำปอกง ประดิษฐานอยู่ 3 วัด ได้แก่

วัดพนัญเชิง จ.อยุธยา วัดกัลยาณมิตร กรุงเทพฯ ฝั่งธนบุรี และที่วัดอุภัยภาติการาม จ.ฉะเชิงเทรา

ซึ่งตั้งชื่อตามความเชื่อและนับถือ ซำปอกง มหาขันทีเอกอัคราชทูตการค้า แห่งราชวงหมิงผู้ยิ่งใหญ่ที่ได้เดินทางเยือนอาณาจักรอยุธยา

สันนิษฐานว่าบริเวณวัดพนัญเชิงแห่งนี้เป็นสถานที่จอดกองเรือของเจิ้งเหอในอดีต

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 09

ภายในวัดพนัญเชิงยังมีอาคารสำคัญและแสดงอิทธิพลความเชื่อของคนไทยเชื้อสายจีนอีกด้วย คือ

พระอุโบสถประดิษฐานพระพุทธรูปเรียงกัน 3 องค์ ได้แก่ พระเงิน พระทอง และพระนาก สันนิษฐานว่าสร้างในสมัยปลายสุโขทัย

พระวิหารน้อย ภายในมีโต๊ะหมู่บูชาเทพเจ้าตามความเชื่อจีน และฝาพนังจิตรกรรมสมัยใหม่รูปโต๊ะหมู่บูชาแบบจีน เก๋งจีน

หรือที่ชาวบ้านเรียกว่า ศาลเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก อยู่ด้านหลังพระวิหารใหญ่ เป็นสถาปัตยกรรมจีนที่สร้างล้อมลานขนาดเล็ก

ด้านหลังเป็นอาคาร 2 ชั้น ชั้นบนมีองค์จำลองของเจ้าแม่สร้อยดอกหมาก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 10

ตามประวัติศาสตร์ราชวงหมิง มีบันทึกไว้ว่า กรุงศรีอยุธยาเป็นหนึ่งใน 30 ประเทศที่เจิ้งเหอได้ไปเยือน

ครอบคลุมตั้งแต่อินโดนีเซีย ถึงเมืองเอเดน และมาดากัสการ์ตะวันออกของแอฟริกา และเดินทางมาถึงอยุธยาเมื่อเดือน 9 ในปี พ.ศ.1953

เจิ้งเหอ หรือที่รู้จักกันในนาม ซำปอกง เดิมชื่อ หม่าเหอ เกิดในต้นราชวงศ์หมิง ที่เมืองคุนหยาง ปัจจุบันคือสิบสองพันนา มณฑลยูนนาน

เจิ้งเหอเป็นชาวพุทธ แต่เนื่องจากบิดาเป็นพ่อค้าทางเรือ ทำการค้ากับประเทศมุสลิม

ทำให้เจิ้งหอได้รับความรู้ภาษาอาราบิก และความรู้ทางภูมิศาสตร์ ดาราศาสตร์จากบิดา อยากลึกซึ้งอีกด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 11

เจิ้งเหอมีพี่น้อง 5 คน เป็นชาย 1 คน หญิง 4 คน เดิมนั้นชื่อหม่าเหอ ไม่ได้แซ่เจิ้ง แต่ใช้แซ่หม่า ตามบิดา

เมื่อหม่าเหออายุได้ 12 ปี อันเป็นช่วงที่กองทัพของจักรพรรดิหงหวู่หรือจูหยวนจาง ปฐมราชวงศ์หมิงนำกำลังทัพเข้ามาขับไล่พวกมองโกล ที่มาตั้งราชวงศ์หยวนออกจากประเทศจีน

จูหยวนจาง ได้ทำการยึดครองยูนนานเป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรหมิงได้สำเร็จ ในเวลานั้นหม่าเหอได้ถูกจับตอนเป็นขันทีมีหน้าที่รับใช้เจ้าชายจูตี้ จนได้รับความไว้วางใจอย่างสูง

ช่วงสงครามแย่งชิงบัลลังก์ระหว่างเอี้ยนหวังจูตี้กับหมิงฮุ่ยตี้ กษัตริย์ที่สืบราชบัลลังก์ต่อจากหมิงไท่จู่

เจิ้งเหอมีส่วนสำคัญช่วยให้จูตี้ได้รับชัยชนะขึ้นสู่บัลลังก์เป็นจักรพรรดิหมิงเฉิงจู่ มีชื่อรัชกาลว่า "หย่งเล่อ"

และได้รับการสนับสนุนเป็นหัวหน้าขันที ต่อมาได้รับพระราชทานแซ่เจิ้ง จึงเรียกขานว่า "เจิ้งเหอ" แต่ชื่อที่รู้จักกันดีก็คือ "ซันเป่ากง" หรือ "ซำปอกง"

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 12

ในยุคราชวงศ์หมิง(ไทยออกเสียงเป็น "เมือง" คำเต็มคือ ต้าหมิง ต้า เป็นภาษาไทว่า "ไท" ดังนั้น คำว่า "ต้าหมิง" จึงตรงกับภาษาไทว่า "ไทเมือง")

ซึ่งตรงกับปี พ.ศ.1943-1967) จักรพรรดิหยงเล่อ มีพระบรมราชโองการแต่งตั้งให้เจิ้งเหอเป็นมหาขันที ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือจีน

และเดินทางสำรวจด้วยกองเรือมหาสมบัติ ซึ่งถือว่าเป็นกองเรือที่มีขนาดใหญ่และดีที่สุดในสมัยนั้น

กองเรือของเจิ้งเหอ ประกอบด้วยเรือ 62 ลำ และเรือธงของเจิ้งเหอ 4 ลำ ทหารประจำการทั้งหมด 27,870 คน

แบ่งลูกเรือประจำลำละ 300 คน เรือลำใหญ่ที่สุดยาว 140 เมตร กว้าง 60 เมตร สามารถบรรทุกผู้โดยสารได้ลำละประมาณ 1,000 คน

ใช้เวลาเดินทางเป็นระยะเวลา 28 ปี ออกสำรวจเส้นทางเดินเรือทั้งหมด 7 ครั้ง ระหว่างปี พ.ศ.1948-1976

กล่าวได้ว่า เรือธงของเจิ้งเหอมีขนาดใหญ่กว่าถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับเรือซานตามารีอาของสเปน (The Santa Maria)

โดย คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส (Christopoher Columbus) ใช้สำรวจและทำให้ค้นพบหมู่เกาะเวสต์อินดิส ในปี พ.ศ.2035

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 13

การเดินเรือสำรวจทางทะเลในระยะเวลา 28 ปี กองเรือของเจิ้งเหอออกสำรวจทางทะเลรวม 7 ครั้ง เดินทางมากกว่า 50,000 กิโลเมตร ท่องต่างแดนมากกว่า 37 ประเทศเท่า

เจิ้งเหอ เริ่มต้นสร้างตำนานสะท้านโลกเป็นครั้งแรกในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1405 (พ.ศ. 1948)

ตรงกับรัชสมัยสมเด็จพระรามราชาธิราชแห่งราชวงศ์อู่ทองปกครองกรุงศรีอยุธยา

เจิ้งเหอทำหน้าที่ผู้บังคับกองเรือสำเภาขนาดใหญ่ เรียกว่า "เป่าฉวน" แปลว่า "เรือมหาสมบัติ"

ต่อขึ้นที่เมืองนานกิง อดีตเมืองหลวงอันเก่าแก่ของจีนเป็นอีกสถานที่หนึ่งซึ่งเป็นที่ตั้งของ "อู่ต่อเรือ"

ใช้ในการเดินเรือของเจิ้งเหอ เรือมหาสมบัติของเจิ้งเหอยาว 400 ฟุต ขนาดใหญ่กว่าเรือ ซานตา มาเรีย ของโคลัมบัสที่ยาวเพียง 85 ฟุต ถึง 5 เท่า

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 14

การเดินเรือครั้งที่ 1 เจิ้งเหอนำกองเรือเดินทางไปเยือนจามปา ปาเล็มบัง มะละกา เซมูเดรา และคาลิกัต

โดยในครั้งนั้นเจิ้งเหอได้ปราบปรามโจรสลัดชาวจีนแห่งปาเล็มบังนามว่า “เฉินจู่อี้” โดยนำตัวไปสำเร็จโทษที่กรุงนานกิง

และต่อมาจีนก็ได้แต่งตั้งให้ ซือจิ้นชิง ดำคงตำแหน่งข้าหลวงผู้ดูแลความสงบเรียบร้อยของจีนประจำปาเล็มบังการเดินทะเล

ในครั้งแรกมีเรือขนาดใหญ่ตามไปด้วย 60 ลำ ขนาดเล็ก 255 ลำ มีลูกเรือทั้งหมด 27,870 คน แล่นเลียบชายฝั่งฟุเกี้ยน

ผ่านไปยังอาณาจักรจามปา ชวา มะละกา สมุทรา (เซมูเดรา) และแลมบรีทางตอนเหนือของเกาะสุมาตรา จากนั้นเดินทางต่อไปยังเกาะลังกา กาลิกัต

ขากลับได้นำคณะทูตจากเมืองเหล่านี้มาเข้าเฝ้าฯ จักรพรรดิหย่งเล่อ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 15

การเดินเรือครั้งที่ 2 ต้นปีถัดมาเจิ้งเหอก็เริ่มออกเดินทางในครั้งที่ 2 เวลานั้นอายุ 36 ปี ครั้งที่ 6 อายุ 50 ปี ครั้งที่ 7 อายุ 60 ปี

โดยครั้งสุดท้ายมีจำนวนลูกเรือ 27,550 คน ไปไกลถึงทวีปแอฟริกากองเรือของจีนก็ได้เดินทางไปเยือนชวา อยุธยา ลังกา และกาลิกัต

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 16

การเดินเรือครั้งที่ 3 เจิ้งเหออายุได้ 38 ปี ได้เดินทางไปยังจามปา ชวา มะละกา เซมูเดรา ลังกา และคาลิกัต

โดยที่เกาะลังกานั้น กษัตริย์วีระ อลกิสวระ ทรงเมินเฉยต่อคณะกองเรือของจีน เจิ้งเหอจึงได้ใช้กำลังจับกุมกษัตริย์องค์ดังกล่าว

นำตัวไปรับโทษต่อจักรพรรดิหย่งเล่อที่กรุงนานกิง ทั้งนี้ ในที่สุดกษัตริย์วิระ อลกิสวระ ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษและเดินทางกลับลังกาได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 17

การเดินเรือครั้งที่ 4 เจิ้งเหออายุได้ 42 ปี กองเรือของเจิ้งเหอได้เดินทางไปไกลกว่าครั้งก่อนๆ

โดยไปถึงเมืองฮอร์มุซ ของเปอร์เซีย โมกาดิชู และมาลินดี ในแอฟริกาตะวันออก โดยขากลับ ณ เกาะสุมาตรา

เจิ้งเหอได้เข้าไปปราบปรามกองกำลังของเซเคนดาร์ ซึ่งก่อการลุกฮือเพื่อโค่นล้มอำนาจการปกครองของซาอิน อัล-อาบิดิน กษัตริย์แห่งเซมูเดราที่ได้รับการรับรองจากจีน

การช่วยเหลือ กษัตริย์ซาอิน อัลบิดิน ซึ่งเป็นมุสลิมให้รอดพ้นจากความตายครั้งนี้ ทำให้เจิ้งเหอได้รับการยกย่อง จากกษัตริย์ซาอิน อย่างยิ่งใหญ่เทียบเท่ากับศาสดาของศาสนามุสลิม

โดยมีพระบรมราชโองการให้มุสลิมทั่วปถพีเคารพเจิ้งเหอ ดุจเป็นศาสดาแห่งมุสลิม

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 18

การเดินเรือครั้งที่ 5 เจิ้งเหอ อายุ 46 ได้เดินทางไปถึงโซมาลิแลนด์ และหมู่เกาะแซนซิบาร์ ทางชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา

โดยได้นำเครื่องบรรณาการแปลกๆ จากดินแดนดังกล่าวกลับมาถวายจักรพรรดิหย่งเล่อ โดยเฉพาะยีราฟ ซึ่งจีนเข้าใจ(ผิด) ว่าเป็น “ฉีหลิน” หรือกิเลน สัตว์มงคลตามความเชื่อของจีน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 19

การเดินเรือครั้งที่ 6 เจิ้งเหออายุได้ 50 ปีแม้ว่าครั้งนี้เจิ้งเหอจะเดินทางไปแค่เมืองคาลิกัตทางชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย

หากแต่กองเรือย่อยที่อยู่ภายใต้บังคับบัญชาของเขา ก็ได้เดินทางไปถึงเมืองเอเดน และดูฟาร์ ในคาบสมุทรอาระเบีย รวมทั้งโมกาดิซูและบราวา ทางชายฝั่งตะวันออกของทวีปแอฟริกา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 20

การเดินทางครั้งที่ 7 เจิ้งเหออายุ 60 ปีถือเป็นการท่องสมุทรครั้งสุดท้ายของชีวิตเจิ้งเหอ

โดยครั้งสุดท้ายมีจำนวนลูกเรือ 27,550 คน ไปไกลถึงทวีปแอฟริกากองเรือของจีนก็ได้เดินทางไปเยือนชวา อยุธยา ลังกา และกาลิกัต จามปา ชวา ปาเล็มบัง มะละกา ชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย ฮอร์มุซ

ซึ่งกองเรือส่วนหนึ่งได้แยกไปยังอยุธยา ระหว่างนั้นเจิ้งเหอก็ล้มป่วยและมรณะกรรม ขณะเรือลอยลำอยู่กลางมหาสมุทร์ในปี พ.ศ.1976

ศพของเขาได้ทำพิธีพุทธตามแบบลูกทะเล และปล่อยศพลงสู่ท้องมหาสมุทร ตามคำสั่งเสียบัญชาก่อนมรณะกรรมของเจิ้งเหอ สิริรวมอายุเจิ้งเหอได้ 62 ปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 21

การนับถือเจิ้งเหอเป็นเทพเจ้าเริ่มปรากฏตั้งแต่ครั้งช่วยกษัตริย์มุสลิม และ เป็นเทพเจ้าแห่งทะเลเมื่อร่างของเจิ้งเหอได้ส่งลงสู่ก้นมหาสมุทร

คำว่า "ซำปอกง" หรือ "ซานเป่า" หมายถึง แก้วสามดวง ที่ได้นามเป็นดังนี้เพราะเจิ้งเหอเป็นชาวพุทธ ได้รวบรวมช่างจีนซ่อมสร้างพุทธํวิหารวัดพระแนงเชิง

เพื่อให้มีเวลาศึกษาคัมภีร์มหาจักพรรดิราช ที่สำนักวัดป่าแก้ว อยุธยา

ชาวพุทธจีนที่อาศัยอยู่ในอยุธยา พากันร่วมบุญซ่อมสร้างวิหารด้วย พร้อมกับยกย่องเจิ้งเหอให้เป็นเทพเจ้า ในความใจบุญสุนทาน เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ตามหลักธรรมของพุทธศาสนา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 22

อีกประการหนึ่ง คำว่า "ซำปอกง" นั้นมาจากการที่เจิ้งเหอ จอดพักของกองทัพเรือมหาสมบัติในอุษาคเนย์ซึ่งเป็นระยะเวลานาน

เนื่องจากปัจจัยพักรอลมมรสุมและวางแผนเพื่อเดินเรือ

เจิ้งเหอ เป็นคนใจบุญสุนทาน ชอบช่วยเหลือผู้ทุกยาก ผู้คนและชุมชนละแวกที่เจิ้งเหอจอดเรือจึงรู้สึกเคารพรัก

และผูกพันกับกองเรือ และได้สร้างศาลเจ้า และสถานที่เพื่อรำลึกถึงคุณงามความดี ของเจิ้งเหอ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 23

ในการเดินเรือของเจิ้งเหอในแต่ละครั้ง ขากลับจะนำเครื่องบรรณาการจากเมืองต่าง ๆ มาถวายจักรพรรดิหย่งเล่อ โดยเฉพาะสัตว์จากหลาย ๆ เมืองที่ผ่าน

อย่างเช่นขากลับจากการเดินเรือทางทะเลในครั้งที่ 5 เจิ้งเหอได้นำสิงโต เสือดาว นกกระจอกเทศ ม้าลาย และยีราฟ (โดยบอกว่าเป็น กิเลน) กลับไปถวายแด่จักรพรรดิหย่งเล่อ

ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบมาก และกลายเป็นของแปลกและน่าตื่นเต้นสำหรับชาวจีนที่พบเห็นเป็นครั้งแรก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 24

เรื่องราวของจิ้งเหอ อันโด่งดังที่สุดคือบทประพันธ์ของ เควิน เมนซีส์ ได้เขียนหนังสือชื่อ 1421 : The Year China Discovered the World ขึ้น

โดยมีหลักฐานที่สามารถพิสูจน์ได้ว่า นายพลเรือผู้กล้าหาญชาวจีนผู้หนึ่งได้ล่องเรือสำเภาไม้ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลก

เดินทางมาถึงอเมริกาก่อนหน้าคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส จะค้นพบถึง 71 ปี

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 25

.....เรื่องราวอันสร้างแรงบันดาลใจแก่ เควิน เมนซีส์ ให้รวบรวมข้อมูล และนำไปสู่การค้นคว้านั้น เพราะบางข้อมูลในเอกสารโบราณที่เขาได้มาจากประเทศจีนนั้น

ทำให้เขาฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า

เหตุใดเหตุการณ์ค้นพบทวีปอเมริกา ที่เผยแพร่กันอยู่ทั่วโลกปัจจุบันนั้น จึงต้องถูกบาดหลวงปลอมแปลงขึ้นใหม่ ให้ไม่ตรงกับหลักฐานทางโบราณคดี ตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 27

เควิน เมนซีส์ ผู้รวบรวมเรื่องราวของเจิ้งเหอ ศิษย์รัตตัญญู จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์

เขาไม่ได้ตั้งใจที่จะลบล้างประวัติศาสตร์การค้นพบทวีปอเมริกาที่

บาดหลวงเขียนลวงชาวโลกอันได้ยัดเยียดสืบทอดกันมายาวนาน ว่าคริสโตเฟอร์ โคลัมบัส เป็นผู้ค้นพบ

แต่เขาได้มุ่งมั่นค้นคว้า จากข้อมูลอันเป็นบันทึกโบราณ ที่เขาได้มาโดยบังเอิญจากร้านขายของเก่า ขณะเดินทางไปฉลองครบรอบแต่งงาน 25 ปีที่ประเทศจีน

หลังจากที่เมนซีส์ได้ศึกษาข้อมูลจากเอกสารโบราณ เขาก็ได้สอบถามเหล่าอาจารย์ทางโบราณคดีจีนหลายท่าน

ก็ได้รับการบอกเล่าเรื่องราวของกองเรือขนาดใหญ่

ที่นำพาเจ้าผู้ครองนครจากดินแดนต่างๆ ทั่วโลกมาร่วมในงานเฉลิมฉลองการสถาปนาพระราชวังต้องห้าม ในวันปีใหม่เมื่อปี ค.ศ.1421

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 28

ไม่เพียงโปรตุเกสที่ยืนยันว่าแผนภูมิแม่บทฉบับนี้มีหลักฐานเชื่อมโยงไปถึงชาวจีนเท่านั้น

แต่ชาวยุโรปพวกแรกที่ไปอเมริกาก็พบว่ามีชาวจีนอยู่ที่นั่นแล้วถึง 38 คณะ

ไม่ว่าจะเป็นคณะของวาสเควซ, โคโรนาโด เฟเรลโล, เมเจอร์ เพาเวอร์ส, เปโดร เมเนนเดซ หรืออวิลเลส เวอร์ราซาโน

คณะของชาวยุโรปจึงมีการสันนิษฐานว่าราชวงศ์หมิงอาจจะนำชาวจีนมาตั้งรกรากในดินแดนอเมริกาแล้ว ในฐานะเป็นอาณานิคม

อีกทั้งในภายหลังได้มีการตรวจสอบ DNA ของชนพื้นเมืองอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ เช่น เผ่าไอระควอย (Iroquois) และเผ่าลาโกต้า (Lakota)

พบว่ามีลักษณะใกล้เคียงกับชาวจีนในแผ่นดินใหญ่ปัจจุบัน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 29

หลังจากหนังสือของ เควิน เมนซีส์ เล่มนี้ตีพิมพ์ออกมา เรื่องราวการเดินทางของโคลัมบัส

ซึ่งจริงแล้วคือโจรที่ปล้นสดมส์ ที่นำหน้าบาดหลวงเพื่อเผยแผ่ศาสนาในดินแดนอเมริกา และบาดหลวงที่ได้ประโยชน์นั้นก็เขียนประวัติศาสตร์ให้ผิดเพี้ยนโดยแอบอ้างว่า โคลัมบัสค้นพบอเมริกาไปเสียเลย

เพราะเมนซีส์ไม่เพียงชี้ชัดลงไปว่า นายพลเจิ้งเหอและกองเรือของเขาซึ่งบรรทุกสิ่งของมีค่าตามพระราชโองการของจักรพรรดิจูตี้ แห่งราชวงศ์หมิง เมื่อราวต้นคริสต์ศตวรรษที่ 15 เป็นผู้ค้นพบทวีปนี้ก่อนเท่านั้น

แต่ยังเป็นผู้รวบรวมอเมริกาให้เป็นเมืองขึ้นของจีนก่อนที่โคลัมบัสจะมาถึงด้วย ทั้งนี้ยังมีหลักฐานที่ยังคงสภาพสามารถยืนยันข้อมูลได้

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 30

เควิน เมนซีส์ ได้กล่าวไว้ว่า “ข้อโต้แย้งที่ผมต้องการจะบอกก็คือ กองเรือของจีนได้เดินทางรอบโลกและได้ทำแผนภูมิการเดินเรือขึ้นก่อนชาวยุโรป

และชาวยุโรปได้ค้นพบโลกใหม่โดยใช้แผนภูมิที่คนจีนทำขึ้น นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ของยุโรปทุกคนล้วนออกเดินทางโดยใช้แผนภูมิในการบอกทางที่พวกเขาจะไปทั้งสิ้น”

เควิน เมนซีส์ เจ้าของผลงานพลิกประวัติศาสตร์โลกย้ำ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 31

เพราะขณะที่กัปตันคุกมีแผนที่ของออสเตรเลีย โคลัมบัสมีแผนที่ของแคริบเบียน และแม็คเจลแลนมีแผนที่ของแปซิฟิกนั้น

แผนที่ทั้งหมดล้วนมาจากแผนภูมิแม่บทของโลก (Master Chart) ที่ชาวจีนเป็นผู้ทำขึ้น

เควิน เมนซีส์ ผู้เขียนซึ่งเป็นอดีตผู้บัญชาการเรือดำน้ำชาวอังกฤษ ทุ่มเทเวลากว่า 9 ปี ในการพิสูจน์ทฤษฎีนี้

จนได้หลักฐานและข้อมูลใหม่ๆ จนทำให้เชื่อได้ว่าทฤษฎีที่เขาค้นพบนี้เป็นความจริง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 32

ชาวโปรตุเกสอ้างว่าพวกเขามีแผนภูมิแม่บท ของโลกในราวปี ค.ศ.1420 ซึ่งเป็นแผนภูมิแม่บทของโลกที่เมนซีส์ค้นพบในเวลาต่อมาเป็นสิ่งที่ช่วยยืนยัน

เช่นเดียวกับเหตุผลที่ว่าทำไมมีคนจีนไปอาศัยอยู่บนแผ่นดินเหล่านั้นก่อนที่ชาวยุโรปจะไปถึง

จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่มีการพบดีเอ็นเอของชาวจีนอยู่ในสายเลือดของชาวยุโรป

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 33

ที่โลกต้องตื่นตระหนกในข้อมูลก็คือ ได้มีการค้นพบภาพใบหน้าของเจิ้งเหอในอเมริกาเหนือโดยสถาปนิกผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่ง

และนี่จะเป็นข้อพิสูจน์สำคัญที่ว่า กองเรือของนายพลเจิ้งเหอได้เดินทางมายังชายฝั่งทั้งด้านแอตแลนติกและแปซิฟิกของทวีปอเมริกาเหนือและใต้จริง

โดยมีหลักฐานยืนยัน และเป็นที่น่าภาคภูมิใจอย่างยิ่งก็คือ เจิ้งเหอเป็นชนชาติไท สิบสองพันนา ได้เดินทางมาศึกษาคัมภีมหาจักพรรดิราช รัตตัญญุศาสตร์ จากสำนักวัดป่าแก้ว อาณาจักรอยุธยา

จึงเป็นที่มาของชื่อที่ตั้งไว้แต่เบื้องต้นว่า "ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก" นั่นเอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 34

เมื่อตอนที่ขบวนเรือของเจิ้งเหอได้มุ่งลงใต้เรื่อย ๆ ในช่วงแรกของการเดินทางอันยิ่งใหญ่

แรงในการขับเคลื่อนเรือลำมหึมาเหล่านี้ ล้วนใช้แรงลมของมรสุม ในฤดูมรสุมการกำหนดแผนเดินเรือ จากจีนผ่านมหาสมุทรอินเดียและอาฟริกา

ท่าเรืออย่างมะละกา (ปัจจุบันอยู่ในประเทศมาเลเซีย)

ได้รับการพัฒนาให้เป็นที่เก็บสินค้าช่วงคั่นระหว่างมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ในเดือนกรกฏาคม กับ ลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือโดยแล่นเรือตามลมไปยังชมพูทวีป (อินเดียปัจจุบัน)

และกลับด้วยลมมรสุมถัดไป คือ มรสุมตะวันตกเฉียงใต้ซึ่งพัดมาถึงอินเดียในเดือนกรกฏาคม

และใช้เวลาหลายสัปดาห์จึงพัดเข้าสู่ชายฝั่งของจีน เรือจากอินเดียจะแล่นตามลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือมาถึงมะละกาก่อนที่เรือสำเภาจากจีนจะออกเดินทางด้วยซ้ำ

แล้วถ่ายของออกจากเรือ จากนั้นจึงมุ่งหน้ากลับในขณะที่เรือสำเภาจีนมาถึง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 35

ตามบันทึกของหม่าฮวน กองเรือของเจิ้งเหอมาถึงมะละกา หลังจากออกเดินทางจากปักกิ่ง 6 สัปดาห์ มะละกาเป็นเมืองท่าที่จีนตั้งขึ้น

เดิมใช้เป็นสถานที่รวบรวมเครื่องเทศจากโมลุกกะหรือหมู่เกาะเครื่องเทศ (คือหมู่เกาะโมลุกกูของประเทศอินโดนิเซียในปัจจุบัน)

ต่อมาได้ขยายเป็นศูนย์กระจายสินค้าจำพวกเครื่องเทศ และเครื่องลายครามของจีน

ดังได้มีนักประดาน้ำพบซากเรือจีนที่บรรทุกเครื่องเคลือบสมัยราชวงศ์หมิงมากมายเมื่อปี พ.ศ.2560

ถือได้ว่าเป็นหลักฐานการเดินเรือของเจิ้งเหอได้เป็นอย่างดี

ต่อมาได้พัฒนาเป็นศูนย์กลางหลักแห่งหนึ่งของการค้าในมหาสมุทรอินเดีย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 36

มะละกาอยู่ระหว่างกลางของอินเดียกับจีน และห่างจากชายฝั่งตะวันตกของมาเลเซียหรือสิงคโปร์ในปัจจุบัน 120 ไมล์ทะเล

ตั้งอยู่ตรงช่องแคบที่เรือเดินทะเลต้องแล่นผ่าน ทำเลที่ตั้งเป็นกำบังลม โดยมีเกาะที่ล้อมรอบช่วยป้องกันพายุ

มีเหมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยดีบุกตามพื้นที่รอบๆ มีแม่น้ำที่เป็นแหล่งน้ำจีดไหลผ่านกลาง มีป่าไม้ที่อุดมสมบูรณ์

ทำให้มะละกาเป็นเมืองท่าที่สมบูรณ์แบบ การค้าเครื่องเทศยังคงความสำคัญอย่างยิ่ง

โดยให้โอกาสพ่อค้าและตัวแทนการค้าสร้างความร่ำรวยอย่างมหาศาล ความพยายามที่จะผูกขาดและควบคุมเครื่องเทศ ที่สร้างกำไรอย่างมหาศาล

เป็นตัวจักรสำคัญอย่างหนึ่งที่ผลักดันการเดินเรือของเจิ้งเหอให้ค้นพบทวีปยุโรป และอเมริกาในเวลาต่อมา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 37

ต้าหมิง(ไทเมือง)ก่อตั้งเมืองท่าการค้าติดต่อกันเป็นแนวอย่างมะละกาและตาลีคุ ทางชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย

รวมถึงตลอดทั่วทั้งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และรอบมหาสมุทรอินเดีย เมืองท่าเหล่านี้เป็นเสมือนฐานส่วนหน้าสำหรับกองเรือของเจิ้งเหอ

เป็นแหล่งอาหารสด น้ำ และไม้ ตลอดเส้นทางจากอาณาจักรต้าหมิง(ไทเมือง) ถึงตะวันออกของอาฟริกา

เป็นเงื่อนไขจำเป็นในแผนการของพระเจ้าจูตี้ ที่จะนำโลกทั้งโลกเข้าสู่ระบบบรรณาการของไทเมือง(ต้าหมิง)

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 38

ต้าหมิงก่อตั้งเมืองท่าการค้าติดต่อกันเป็นแนวอย่างมะละคาและตาลีคุ ทางชายฝั่งตะวันตกของอินเดีย รวมถึงตลอดทั่วทั้งเอเซียตะวันออกเฉียงใต้และรอบมหาสมุทรอินเดีย

เมืองท่าเหล่านี้เป็นเสมือนฐานส่วนหน้าสำหรับกองเรือของเจิ้งเหอ

เป็นแหล่งอาหารสด น้ำ และไม้ ตลอดเส้นทางจากอาณาจักรต้าหมิง(ไทเมือง) ถึงตะวันออกของอาฟริกา

เป็นเงื่อนไขจำเป็นในแผนการของพระเจ้าจูตี้ ที่จะนำโลกทั้งโลกเข้าสู่ระบบบรรณาการของไทเมือง(ต้าหมิง)

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 39

คศ.1421 การค้าทั่วมหาสมุทรอินเดีย อยู่ภายใต้การควบคุมของจีน ชาวอาหรับจากอีจิปต์ และแว่นแคว้นต่าง ๆ ในอ่าวเปอร์เซีย

ซึ่งมีความสัมพันธ์กันฉันท์มิตร ชาวอาหรับกระหายที่จะได้เครื่องเคลือบและผ้าไหมของหมิง

เช่นเดียวกับส่วนอื่น ๆ ของโลกที่เป็นที่รู้จัก และเรือสำเภาของไทเมือง(ต้าหมิง) มักเป็นที่ยอมรับเสมอในท่าเรือของอาหรับ

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 40

มีบันทึกโบราณของนครเมกกะ ว่าเรือสำเภาหลายลำจากต้าหมิง(ไทเมือง) ได้เดินทางมายังท่าเรือของอินเดีย

และมีสองลำทอดสมอที่เมืองท่าเอเดน แต่ไม่มีการขนถ่ายสินค้าอย่างเครื่องเคลือบ ถ้วยชามและผ้าไหม ชะมดเชียง ฯลฯ เนื่องจากความไม่สงบที่เกิดขึ้นในแผ่นดินเยเมน

สุลต่านได้มีสาส์นแจ้งไปยังเจิ้งเหอ ให้นำเรือมาจอดที่เจดดาห์ และแสดงความนับถือต่อเจิ้งหอซึ่งเป็นเอกอัครราชทูตของต้าหมิงด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 41

ขบวนเรือของเจิ้งเหอ และอาหรับมีจำนวนเท่าๆ กัน มาเทียบท่าที่คาลิคุท เมืองท่าที่ยิ่งใหญของชมพูทวีป(อินเดียปัจจุบัน)

ส่วนเฮอร์มุสในอ่าวเปอร์เซีย และ คิลวา รวมทั้งแซนชิบาในตะวันออกของอาฟริกา เป็นเมืองท่าของชาติอาหรับที่ขบวนเรือเจิ้งเหอไปใช้ร่วม

แต่มะละกาเป็นประเทศภายใต้การปกครองของไทเมือง(ต้าหมิง) อย่างแท้จริง ซึ่งถือว่าเป็นฐานส่วนหน้าของต้าหมิง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 42

บันทึกโบราณได้มีว่า "...มะละกา เป็นชนสยามมาดั้งเดิมครั้งตั้งแต่อาณาจักรศรีวิชัย มีฐานะเป็นแคว้นหนึ่งของสยาม

จึงไม่ได้มีฐานะเป็น "ประเทศ" ที่นี่ไม่มีกษัตริย์ แต่ปกครองโดยเจ้าเมืองที่แต่งตั้งจากเซียนหลัว(สยาม)เท่านั้น ดินแดนนี้อยู่ในเขตอำนาจของเซียนหลัว(สยาม)

ตั้งแต่สมัยพระนเรศ(สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งมะละกาต้องส่งเครื่องบรรณาการให้สยาม เป็นทองคำหนัก 40 ตำลึง)

หากไม่ส่งเซียนหลัว(สยาม) ก็จะส่งกองทัพมาโจมตี

ที่นี่มีวัดพุทธหลายแห่ง ประเพณีทั้งหมดล้วนเป็นประเพณ๊พุทธดุจเช่นชาวสยาม

แม้ภาษาพูดภาษาเขียนก็ใช้อักษรสยาม ข้าราชการปฏิบัติตามแบบในอยุธยา มีชาวสยามมาตั้งรกรากมากมาย รวมทั้งทหารสยามกว่าห้าพัน...."

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 43

การเดินเรือของเจิ้งเหอมายังสยาม ในยุคอาณาจักรอยุธยา ตรงกับรัชสมัยของพระเจ้าท้ายสระ

นอกจากจะเป็นการฟื้นสัมพันธไมตรีทางการค้าแล้ว ยังมีนัยสำคัญอันเป็นคำสั่งเสียของบิดาให้เสาะหา และศึกษาคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ ของตระกูลซุน ที่ได้รจนาไว้นับแต่ครั้งชุนชิวจ้านกั๊วโดยซุนวู(ชื่อว่าคัมภีร์ซุนจื่อ)

และได้ตกทอดต่อมามาภายในตระกูลซุนจวบกระทั่งถึงช่วงสิ้นสุดยุทธการน่านเจ้า(สามก๊ก)

ตระกูลซุนได้อพยพลงใต้มาตั้งอยู่ ณ พื้นที่อาณาจักรศรีสุวรภูมิตอนเหนือ และได้ตั้งราชวงศ์ชุนขึ้นที่เมืองสุโขทัย(ประวัติศาสตร์ไทยออกสำเนียง ซุน ว่า ขุน) หรือ ราชวงศ์พระร่วง

ซึ่งเป็นทีประจักษ์ว่ากษัตริย์ราชวงศ์นี้มีความเชี่ยวชาญทั้งการรบ และนานาศิลปศาสตร์

สิ่งซึ่งบิดาของเจิ้งเหอสั่งไว้ก็คือวิชาดาราศาสตร์ ของคัมภีร์มหาจักพรรดิ์ราชฯ อันจะสามารถหยั่งรู้ดินฟ้ามหาสมุทร ท่องเที่ยวไปในทุกแหล่งหล้า

อย่างไร้ผู้ทัดเทียม

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 44

เจิ้งเหอได้ทราบจากชาวไทเมือง (ต้าหมิง) ที่มาประกอบการพานิชค้าขายที่อยุธยาว่า

ได้มีการถ่ายทอดวิชชาคัมภีร์มหาจักพรรดิราช โดยพระสงฆ์เจ้าอาวาสที่วัดพะแนงเชิง อยุธยา

เขาจึงใช้นโยบายเข้าหาเจ้าอาวาส ว่าจะทำการบูรณะวิหารใหญ่อันเป็นที่ประดิษฐานพุทธปฏิมาของวัดพะแนงเชิง

ซึ่งต้องใช้เวลาหลายเดือนในการก่อสร้าง อันเป็นโอกาสให้เจิ้งเหอได้รับการถ่ายทอดวิชชาคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ ภาคดาราศาสตร์ และ อุตุศาสตร์ (จากเจ้าอาวาสซึ่งเป็นศิษย์วัดป่าแก้ว) และไปศึกษาเชิงลึกที่วัดป่าแก้วจนครบถ้วนอย่างสมบูรณ์

จากความรู้ด้านดาราศาสตร์ที่เจิ้งเหอได้รับมานี้นีบว่เป็นประโยชน์สำหรับการเดินเรือรอบโลกอย่างยิ่ง

การศึกษาถ่ายทอดคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ นั้นใช้เวลาหลายเดือน

แต่เจิ้งเหอใช้การบูรณะพุทธสถานเป็นคู่ขนาน ทำให้ไม่เกิดความรู้สึกของกำลังพลในกองเรือเบื่อหน่ายที่ต้องอยู่ในสยามยาวนานเป็นพิเศษ

ในแผ่นดินสยาม ขณะนั้นชาวต้าหมิงจำนวนมาก ทำการค้าพานิชอยู่ที่อยุธยา ล้วนแล้วแต่เป็นพุทธมามกะ เมื่อเห็นเจิ้งเหอบูรณะพระ และวิหาร ให้เป็นที่เคารพสักการะ ต่างก็ปลาบปลื้มยินดี

พร้อมใจกันแกะสลักหินเป็นรูปเจิ้งเหอ พร้อมกับศาลไว้ให้ชนรุ่นหลังได้ระลึกถึงความดีงาม โดยเรียกขานว่า "ซำปอกง" หรือ "เทพเจ้าแห่งมหาสมุทร"

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 45

จากบันทึกประวัติศาสตร์ ที่ค้นคว้าโดยมหาวิทยาลัยฟอริด้า(JO) ยืนยันว่า

"......ในระหว่างการเดินทางของ กองเรือของเจิ้งเหอได้ประสบความสำเร็จในการใช้ความรู้ทางดาราศาสตร์ นำมาประกอบในการวัดเส้นแวง

เรื่องนี้เห็นได้จากเส้นแวงของชายฝั่งตะวันออกของอาฟริกาที่แสดงไว้ในแผนที่ซึ่งเขียนโดยเจิ้งเหออย่างแม่นยำจนปัจจุบัน..."

ซึ่งต่อมาได้ปรากฏอยู่ในแผนที่กันติโน(คศ.1502) ราว 300 ปี ก่อนที่ จอห์น แฮริสัน จะผลิตนาฬิกาโครโนมิเตอร์

ที่เจิ้งเหอสามารถคำนวณเส้นแวงได้นั้น เป็นผลมาจากการคำนวณตามวิชาดาราศาสตร์-คัมภีร์มหาจักพรรดิ์ราชฯ อันได้เรียนมาจากสำนักวัดป่าแก้วอยุธยา

อีกทั้งทางด้านอุตุศาสตร์นั้นช่วยให้กองเรือเจิ้งเหอสามารถคำนวนทิศทางลม ฝน ฟ้า และพายุได้ล่วงหน้า

ซึ่งต่อมาภายหลังจากเจิ้งเหอกลับไปยังต้าหมิง ก็ได้ถวายคัมภีร์มหาจักพรรดิ์แก่กษัตริย์จูตี้

ทำให้มีการก่อตั้งสำนักพยากรณ์อากาศ หรือ กรมอุตุนิยมวิทยาของต้าหมิง

โดยส่งช่างต้าหมิงไปลอกแบบกรมธัญญาหารของเมืองสุโขทัย ที่ก่อตั้งโดยกมรเตงอัญศรีสุริยพงษ์รามลิไท(ประวัติศาสตร์ไทยเรียกว่า พญาลิไท)

เป็นครั้งแรกในแผ่นดินต้าหมิง เพื่อประโยชน์ทางเกษตรกรรมและป้องกันอุทกภัย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 46

จากความรู้ทางดาราศาสตร์ ที่เจิ้งเหอได้รับจากการศึกษาคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ ภาคอุตุศาสตร์ ซึ่งได้ศึกษาจากสำนักวัดป่าแก้วอยุธยา

ทำให้เขาสามารถเขียนแผนที่โลกได้อย่างแม่นยำ ซึ่งสามารถยืนยัน ใช้เทียบเคียงเป็นหลักในการเขียนแผ่นทีของยุคปัจจุบัน

อันจะเห็นได้จากที่เจิ้งเหอได้เขียนแผนที่ทางทะเลเส้นแวงด้านตะวันออกของอาฟริกา

ระหว่างแคปทาวน์และจิบูติ เป็นระยะทางถึง 7,000 ไมล์ทะเล ซึ่งมีความแม่นยำในรายละเอียดระดับ 20 ไมล์ทะเล(เท่ากับเวลา 20 วินาที)

ซึ่งเป็นที่น่าอัศจรรย์เพราะยุคนั้นยังไม่มีแม้แต่กล้องส่องดูดาว หรือดาวเทียมสำรวจอากาศ และแผนที่ทางทะเลที่เจิ้งเหอได้จัดทำขึ้นนี้ได้ถูกใช้ ถ่ายทอดเป็นแม่แบบในการสร้างแผนที่กันตีโน่ ในยุคต่อมา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 47

เจิ้งเหอได้ใช้ความชำนาญในการทำแผนที่ดาวยามค่ำคืนจากคัมภีร์มหาจักพรรดิ์ฯ เป็นแบบอย่างให้กับกองเรือยุคหลังสืบต่อมาถึง 600ปี

ทั้งยังปรากฏคำพยากรณ์ทางดาราศาสตร์ของจิ้งเหอ เรื่องการโคจรกลับมาของดาวหางฮัลเล่ย์ในระบบสุริยะทุกครั้งตลอดมาในช่วง 200ปี ซึ่งมีความแม่นยำเสียยิ่งกว่าองค์การนาซ่าของสหรัฐในยุคปัจจุบัน

...และที่เหนือไปกว่านั้น...

เจิ้งเหอยังได้นำเอาไตรภูมิพระร่วง(ซึ่งใช้ในสมัยราชวงศ์สุโขทัย) ผนวกกับคัมภีร์มหาจักพรรดิ์ฯ

มาคำนวณเส้นรุ้งเส้นแวงของโลกได้อย่างถูกต้องว่าแบ่งได้ทั้งสิ้น 365 กับ เศษหนึ่งส่วนสี่องศา(ซึ่งต่อมาผู้นำศาสนาคริสต์ได้นำไปทำเป็น จำนวนวันใน 1ปี ใช้กันในหมู่นักบวช จนกลายเป็นสากลในปัจจุบัน ว่าปีหนึ่งมี 365 วัน)

ซึ่งความจริงแล้ววัน เดือน ปี จะคำนวณจากวงโคจรของโลกรอบดวงอาทิตย์ ซึ่งเป็นวงกลม 360 องศาไม่มีเศษ

แต่บาดหลวงมั่ว ปลอมปนวิชาโหราศาสตร์ เพราะไม่ต้องการให้ผู้ใดสามารถคำนวณดวงชะตาโป๊ป กษัตริย์ของวาติกันได้ เพราะทำสงครามกับอิสลามอยู่ในตะวันออกกลาง

ต่อมาวาติกันเกิดการแบ่งแก่งแย่งกันเป็นใหญ่ จึงแตกเป็นนิกายคาทอลิกกับโปแตสแตนส์ แข่งกันล่าเมืองขึ้นรีดนาทาเร้นเอาดินแดน และทรัพย์สินจากชาติอื่นโดยอ้างพระเจ้า

และก็เอาความโง่เรื่องปีหนึ่งมี 365 วันแทรกเข้าไป จนกลายเป็นสากลในปัจจุบัน

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 48-50

เจิ้งเหอวัดเส้นแวงของตำแหน่งบนโลกไปทางทิศตะวันออก (คือ ทิศตะวันตกของนครปักกิ่ง)

ส่วนเส้นรุ้งนั้นเจิ้งเหอวัดจากดาวเหนือทางเหนือ และจากจุดกึ่งกลางของดาวที่อยู่รอบขั้วโลกทางใต้ ไม่ใช่วัดจากเส้นศูนย์สูตรโลกตามยุคปัจจุบัน(เส้นศูนย์สูตรปัจจุบัน ตั้งขึ้นตามค่านิยมของประเทศนักล่าอาณานิคม ไม่ตรงตามธรรมชาติทางดาราศาสตร์)

ผลลัพท์ที่เจิ้งเหอมอบไว้เป็นของขวัญแก่โลก คือ ความถูกต้องทางภูมิศาสตร์ และเป็นแผนที่ซึ่งนักเดินเรือยุโรปใช้เป็นแม่แบบทำแผนที่โลกในเวลาต่อมา

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 51

การเดินทางของเจิ้งเหอไปไกลจนถึงทวีปแอนตาคติคในปี 1422 ซึ่งทำให้ชาวโลกได้รับรู้กับแผนที่อันถูกต้องของขั้วโลกใต้

เจิ้งเหอได้ใช้วิชชาจากคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ ขจัดความเบี่ยงเบนของแม่เหล็ก และคำนวณเส้นรุ้งในซีกโลกใต้ได้เช่นเดียวกันที่วัดได้จากดาวเหนือทางเหนือ

ซึ่งเจิ้งเหอได้เป็นแรงกระตุ้นให้พระเจ้าจูตี้สร้างหอดูดาวขึ้นในพระราชวัง

นักปราชญ์ที่ได้รับการคัดเลือกจำนวนหนึ่ง ได้เข้าศึกษาวิชชาดาราศาสตร์จากเจิ้งเหอ

จนมีความสามารถทำแผนที่การโคจรของดาวบนท้องฟ้าไว้อย่างถูกต้องไม่น้อยกว่า 1,400 ดวง ต่อ คืน

ในขณะที่เคลื่อนที่ผ่านข้ามท้องฟ้า พร้อมนั้นเจิ้งเหอได้ถ่ายทอดวิชชาจันทร-สุริยทีปนี จากคัมภีร์มหาจักพรรดิราช ภาคดาราศาสตร์

ทำให้สามารถคำนวณสุริยคราส และจันทรคราสได้อย่างถูกต้องแม่นยำ

รวมทั้งกระแสน้ำขึ้นน้ำลง ปริมาณฝน และระยะเวลามากน้อยของน้ำเพื่อป้องกันอุทกภัยในยุคราชวงศ์ต้าหมิง(ไทยเมือง) ยุคนั้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 52

บันทึกของพ่อค้าสำเภาที่ไปค้าขายในสมัยต้าหมิง มีว่า

"...หอดูดาวที่เจิ้งเหอสร้างขึ้นตามแบบของสุโขทัยในอาณาจักรสยามขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งเป็นรูปทรงเจดีย์มีปลายยอดตัด โดยยอดบนวัดความกว้างได้ 25 ตารางฟุต

มีบันไดจากพื้นขึ้นไปจนถึงดาดฟ้าบนยอด เป็นอาคาร 3 ห้องเป็นจุดที่เห็นทิศเหนือได้ชัดเจน พร้อมกับมีเสาโนมอน หรือ เสาในแนวดิ่งสู 40 ฟุต

นอกจากนี้หอดูดาวยังมีท่อนไม้ขนาดเล็กในแนวดิ่งใช้เพื่อสังเกตุการเคลื่อนตัวของเส้นเมอริเดียน ตามหลักคำนวณดาราศาสตร์ในคัมภีรมหาจักพรรดิราชฯ

และมีเคลปไซดรา หรือ นาฬิกาหยดน้ำขนาดใหญ่วัดเวลาตั้งไว้ในอีกห้องหนึ่ง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 53

มีเครื่องมือสำหรับวัดเงาของแสงอาทิตย์ วางราบไปบนพื้นดินทางด้านเหนือของหอดูดาวยาว 120 ฟุต มีคูน้ำสองข้างขนานไปตามความยาวเพื่อแน่ใจว่า เครื่องมือนี้อยู่ในแนวระนาบ และสามารถวางหินของเครื่องในแนวขนานกับน้ำ

(จากรายละเอียดลักษณะหอดูดาวสมัยหมิงนี้ ทำให้เรามองเห็นภาพหอดูดาวที่ได้สร้างขึ้นสมัยกรุงสุโขทัย โดยบัญชาของพญาลิไท ซึ่งได้ศึกษาวิชาดาราศาสตร์-คัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ จากพระมหาเถรสรีสัทธาฯ สมเด็จพระสังฆราชเจ้าแห่งกรุงสุโขทัย

เช่น สระน้ำที่นักประวัติศาสตร์เรียกว่า ตะพังเงินตระพังทอง จริงแล้วก็คือสระน้ำที่สร้างขึ้นเพื่อจัดระดับของหอดูดาวกรุงสุโขทัย ที่ใช้สำหรับคำนวณเกณฑ์พิรุณศาสตร์ เพื่อการเกษตรยุคนั้น ทำให้กรุงสุโขทัยเจริญ ผาสุข อุดมสมบูรณ์ ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 54

เสาโนมอน ที่เจิ้งเหอสร้างขึ้นในแผ่นดินหมิงนั้น สูงขึ้นไปในอากาศถึง 40 ฟุต ซึ่งทำให้สามารถวัดเงาแดดที่ส่องผ่านเสาได้ชัดเจน

ยกตัวอย่างเช่น ในวันอิควิน๊อคที่เส้นศูนย์สูตร ดวงอาทิตย์จะขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตก ในเวลาเที่ยงดวงอาทิตย์จะอยู่เหนือศีรษะของผู้สังเกตุพอดี

และจะไม่มีเงาในตอนเที่ยง จะเป็นเพียงแค่จุด เงาที่ยาวที่สุดจะเกิดขึ้นในเวลาที่ดวงอาทิตย์ขึ้นและตก ความยาวของเงาจะบอกถึงเวลาของกลางวัน และสถานที่ที่เฉพาะเจาะจงนั้น

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 55

เดิมทีเจิ้งเหอได้สร้างหอดูดาวขึ้นที่นานกิง แต่ต่อมาพระเจ้าจูตี้ได้มีการย้ายเมืองหลวงไปสร้างใหม่ที่ปักกิ่ง ก็ได้เอาแบบไปสร้างที่ปักกิ่งใหญ่กว่าที่นานกิงเสียอีก

และในทุกที่ ๆ เจิงเหอท่องทะเลไปถึงที่ใด เขาก็จะสร้างหอดูดาวไว้ที่นั้น ๆ อีกด้วย ตามบันทึกของราชวงศ์หยวน ได้กล่าวถึงหอดูดาวและอุปกรณ์ พร้อมด้วยวิธีการใช้ไว้อย่างละเอียด

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 56

:: ความล้ำยุคทางเทคโนโลยีดาราศาสตร์ ที่ก้าวหน้าก่อนชนชาติอื่นในโลกจะค้นพบนับเป็นร้อยปี

ทำให้ชนรุ่นหลังได้รับรู้ถึงความเจริญทางวิทยาการ ที่เจิ้งเหอได้รับวิชาความรู้ทางรัตตัญญุศาสตร์ไปจากสำนักวัดป่าแก้ว แห่งอาณาจักรอยุธยาทางด้านดาราศาสตร์ และนำไปพัฒนาในแผ่นดินราชวงศ์หมิงนั้น ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง เช่น

หุนเทียนเสี้ยง - ทรงกลม(โดม-ปัจจุบันเรียกได้ว่าท้องฟ้าจำลอง) หยางอี๋ - นาฬิกาแดดชนิดครึ่งวงกลม กุยเปี่ยว - ไม้โนมอนสูง 40 ฟุต หลีหยุนอี้(จิงเหว่ยอี้) - กล้องสำหรับวัดระยะ เฉิงลี่ - เครื่องมือตรวจวัดตำแหน่งที่ถูกต้อง ของดวงอาทิตย์และดวงจันทร์เมื่อใกล้เกิดคราส ชิงฝู - เครื่องมือขยายเงา ยื่อเยว่สืออี้ เครื่องมือสังเกตุ คำนวณการเกิดสุริยคราส ยื่อเยว่สืออี้ เครื่องมือสังเกตุ คำนวณการเกิดสุริยคราส เป็นต้น

กลายเป็นต้นแบบให้ชนชาติยุโรป ลอกเลียน ถอดแบบ แอบอ้างว่าค้นคิดขึ้นมาได้เอง

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 57

จากบันทึกทางการแพทย์ของ Dr.แอนนาเบล อาเรนด์ส และคณะ เกี่ยวกับงานพิสูจน์พันธุกรรม(DNA ในทรานเฟอร์รินส์) ของชาวอินเดียนแดง ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ตอนเหนือของประเทศบราซีล เวเซนูเอลล่า ซูรินัม และ กายานา

ซึ่งผลพิสูจน์ปรากฏว่า DNA ทรานเฟอรินส์ เหล่านี้มีเฉพาะคนในพื้นเมืองในมลฑลกวางตุ้งของประเทศจีนในปัจจุบันเท่านั้น โรคภัยซึ่งแต่เดิมไม่พบหรือเป็นที่รู้จักในทวีปอเมริกาใต้

แต่กลับได้พบทั่วไปในเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ เช่นพยาธิปากขอ พยาธิตัวกลม เหา ปรากฏมีอยู่กับคนอินเดียนแดงแถบนี้อย่างแพร่หลาย

จึงเป็นเครื่องบ่งบอกชัดเจนว่า เป็นการแพร่จากการเดินเรือของคณะเจิ้งเหอในอดีต นั่นเอง แสดงให้เห็นว่าการค้นพบทวีปอเมริกา ได้เกิดขึ้นก่อนที่โคลัมบัสจะค้นพบทวีปอเมริกาหลายร้อยปี ยิ่งไปกว่านั้นยังพบเครื่องลงรักปิดทองฝีมือยูนาน ซึ่งเป็นยุคของราชวงศ์เหม็งปรากฏอยู่ในสุสานโบราณของชาวอินคาในบราซีล ซึ่งศพในสุสานยังนุ่งห่มผ้าที่ทอย้อมผ้าด้วยสี และกรรมวิธีสมัยต้าหมิง(ไทเมือง) อีกด้วย

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 58

ตามบันทึกโบราณของชาวอินคา ได้ปรากฏข้อมูลว่า "..... มีเรือที่เหมือนบ้าน มาถึงนอกชายฝั่งที่หาดปลายา ลา โลปา ที่อยู่ใกล้เคียง ตรงด้านที่หันออกทะเลของริโอ บัสซัส ปัจจุบันได้พบว่ามีซากเรือโบราณยุคหมิงของจีนจมอยู่ นอกจากนั้นยังได้พบซากเสื้อผ้าของจีนที่ถูกซัดออกทะเลไปติดอยู่ในเกาะใกล้ฝั่งนั้น และยังได้ค้นพบสถาปัตยกรรมจีนสมัยหมิงมากมาย อย่างรูปหล่อที่ขุดพบที่เมืองฮูฮูทลา แจกันสังคโลก ที่อาสคาโพท ชาลโค ม้ากระเบื้องบนชายฝั่ง เหรียญตรารูปสิงหโตและม้าที่พาเลงเค เครื่องราง ลูกปะคำสวดมนต์ของชาวพุทธ และที่อุดหูที่เตโอติอูอากัน(เม๊กซิโกซิตี้-เมืองหลวงของประเทศเม๊กซิโกปัจจุบัน) และม้าศึกหินแกะสลักจำนวนมากที่เตโอติอูอากัน บนคาบสมุทรยูคาทัน สิ่งที่ค้นพบในทวีปอเมริกานั้นเป็นหลักฐานยืนยันชัดเจนว่า เจิ้งเหอ คือผู้ที่ค้นพบทวีปอเมริกาก่อนที่โคลัมบัสจะเกิด แต่คริสตศาสนจักร ได้เขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาว่าโคลัมบัส เป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกา พร้อมเผยแพร่ไปพร้อมกับศาสนา จนคนหลงเชื่อว่าเป็นความจริงกันทั่วโลก ซึ่งความจริงควรจะบันทึก หรือ แก้ไขประวัติศาสตร์โลกให้ถูกต้องว่า เจิ้งเหอ ราชทูตการค้าแห่งต้าหมิง เป็นผู้ค้นพบทวีปอเมริกาเป็นคนแรกของโลก

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS

ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก 59

ในการก่อสร้างขยายสนามบินที่มณฑลฟูเจียน กรรมกรได้ขุดพบวังใต้ดินที่ยังมีสภาพสมบูรณ์โดยบังเอิญ ปรากฏพบรูปปั้นจารึกชื่อเจิ้งเหอ และบรรดาแม่ทัพเรือในท่วงท่าวางแผนการเดินเรือ รูปปั้นนั้นทาด้วยสีซึ่งใช้ในยุคราชวงศ์หมิง เมื่อนำไปเปรียบเทียบกับรูปเขียนโบราณเกี่ยวกับการเดินเรือในมหาสมุทร ก็พบว่ารูปปั้นเจิ้งเหอนั้นลงตัวกับพิพิธภัณฑ์ทั่วโลก และยังมีรูปปั้นชาวต่างประเทศเป็นรูปปั้นชาวยุโรปร่างเล็ก จมูกโด่ง หูกาง ในมือถือม้วนแผนที่ ซึ่งจากการเปรียบเทียบจึงพบว่าภาพปั้นนั้นคือ นิโคโล คากอนติ นั่นเอง

สิ่งที่เจิ้งเหอได้สร้างไว้ให้กับชนชั้นหลัง คือสร้างประวัติศาสตร์ที่ไม่มีใครสามารถเทียบเทียมได้ตลอด 700 ปี ที่ผ่านมา ที่สำคัญที่สุดเหนืออื่นใดก็คือ เจิ้งเหอ เป็นชนชาติไท เกิดที่มลฑลยูนาน หรือ สิบสองพันนา นับถือพุทธศาสนา และได้ศึกษาคัมภีร์มหาจักพรรดิราชฯ จนสามารถคำนวณทางดาราศาสตร์ได้อย่างแม่นยำ เป็นแม่แบบใช้ทำแผนที่เดินเรือสืบมาจนกลายเป็นที่เลื่องลือจวบจนปัจจุบัน

เราในฐานะศิษย์รัตตัญญู และเป็นชนชาติไทด้วยกัน ย่อมมีความภาคภูมิใจ ในความยิ่งใหญ่ของบรรพบุรุษไทที่ได้สร้างประวัติศาสตร์ไว้ให้ชาวโลกจารึกตราบชั่วนิรันด์กาล และนี่คือที่มาของการใช้ชื่อเรื่องว่า ".....เจิ้งเหอ ศิษย์รัตตัญญู ผู้เขียนประวัติศาสตร์โลก.."

พฤษภผกาสร อีกกุญชร อันปลดปลง

โทฑนฑ์เสน่งคง สำคัญหมายในกายมี

นรชาติที่วางวาย มลายสิ้น ทั้งอินทรีย์

สถิตย์ทั่ว แต่ชั่วดี ประดับไว้ในโลกา ฯ

จิตวิญญาณของศิษย์รัตตัญญู คือ บำเพ็ญตนเพื่อประโยชน์แห่งชนส่วนใหญ่ รักษาธรรมะ และ สัจจะยิ่งชีวิต พิทักษ์พระพุทธศาสนาอันเป็นสายเลือดของความเป็นชนชาติไท

ขอความผาสุขสวัสดี จงบังเกิดมีแก่ชนชาติไท และศิษย์รัตตัญญู ทุกรุ่น ทุกรูปนามเทอญ...

  • Digg
  • Del.icio.us
  • StumbleUpon
  • Reddit
  • RSS